Artists

Yuree Kensaku

Date / Time

18 ธันวาคม 2567 – 16 มีนาคม 2568
10.00 - 19.00 น.

Location

JWD Art Space

About

เผยพลังแห่งการไม่ยอมจำนน: ผลงานชุดใหม่ของยุรี เกนสาคู 

เขียน โดย มิวาโกะ เทซูกะ 

ผลงานภาพจิตรกรรมชุดใหม่ล่าสุดของยุรี เกนสาคู ดิ่งลึกลงไปในการต่อสู้ดิ้นรนและพลังแห่งการไม่จำนนของผู้หญิง โดยดึงมาจากเรื่องราวและต้นแบบทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย ขณะที่ผลงานแต่ละชิ้นของเธอยังคงสีสันสดใสให้ความรู้สึกถึงงานอนิเมะที่เชื้อเชิญผู้ชม ผลงานชุดใหม่นี้สำรวจวิธีการที่ตำนาน ประวัติศาสตร์ เรื่องเล่าพื้นถิ่น วัฒนธรรมป๊อป และตำนานท้องถิ่นนำเสนอ และขณะเดียวกันสร้างการเหมารวมภาพของผู้หญิง ตัวละครต่างๆ เช่น ภูตผี ปีศาจ และตัวเอกปฏิลักษณ์เป็นจุดเด่นในผลงาน แต่กระนั้นตัวละครเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นตัวร้ายแบบตรงไปตรงมาเสียทีเดียว ในทางตรงกันข้าม ยุรีเข้าถึงตัวละครเหล่านี้ด้วยสายตาที่เฉียบแหลม หล่อหลอมพวกมันให้เป็นสัญลักษณ์ร่วมสมัยสไตล์ป๊อปอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ สะท้อนถึงจิตวิทยาที่ซับซ้อนในชีวิตทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมของเรา

หัวเรื่องหลักของเธอคือผู้หญิงที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างน่าเศร้าทั้งในประวัติศาตร์ จากสถานที่ต่าง ๆ และในจินตนาการ ตัวอย่างเช่น โอคิคุจากเรื่องเล่าสยองขวัญคลาสสิกของญี่ปุ่น เมดูซ่าจากเทพปกรณัมกรีก แม่นาคพระโขนงจากตำนานพื้นบ้านไทย เช่นเดียวกันกับเรื่องของแม่มดที่ถูกไล่ล่าในยุคกลางและตอนต้นของยุโรปสมัยใหม่และอาณานิคมแมสซาชูเซตส์ในอเมริกาเหนือ อย่างไรก็ดียกเว้นในผลงานบางชิ้นที่ผู้หญิงต้นแบบมาจากช่วงเวลาร่วมสมัย อย่าง ลิซ่า แบล็กพิงก์ หรือเหล่านักรบสาวในเซเลอร์ มูน  ที่เป็นไอคอนของพลังหญิง กลุ่มตัวละครที่หลากหลายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นการศึกษาค้นคว้าที่กว้างขวางของยุรีถึงผลกระทบของการเล่าเรื่องและอำนาจในการควบคุมของผู้เล่าเรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นเป็นต้นแบบที่อยู่ในจิตสำนึกของมนุษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า และขณะที่การประกอบสร้างตำนานสามารถลดลงได้ ซึ่งนั่นยิ่งตอกย้ำถึงธรรมชาติอันไม่ยืดหยุ่นของการเหมารวม ศิลปินกลับล้มล้างผลกระทบดังกล่าวด้วยการเปลี่ยนตัวละครเหล่านี้ให้เปิดเผยให้เห็นการวิพากษ์ทางสังคมผ่านคุณธรรมที่ยังคงฝั่งลึกอยู่ภายในที่ไม่เคยสูญสลายไป  กล่าวโดยสรุป การสำรวจของยุรีในผลงานชุดใหม่ของเธอขึ้นกับอคติที่ถูกถักทอขึ้นผ่านเรื่องเล่าเหล่านี้ อคติที่ยังคงส่งอิทธิผลต่อวิธีที่ผู้หญิงถูกมองในปัจจุบัน

ไม่ได้ตั้งใจจะสวยถึงตาย

ภาพของ ฟามม์ ฟาตาลล์ (femme fatale ผู้หญิงสวยมีเสน่ห์แฝงอันตราย) เป็นต้นแบบของผู้หญิงที่ปรากฏแพร่หลายมาเนิ่นนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ศิลปะและวรรณกรรมฝรั่งเศสยุค แฟ็งเดอซีแย็กล์ (ยุคเปลี่ยนศตวรรษ) ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของพวกเธอโด่งดัง บ่อยครั้งที่ถูกมองเป็นทั้งผู้ยั่วยวนและผู้ทำลายล้าง ดังที่ปรากฏในผลงานมีชื่อเสียงอย่าง Les Fleurs du Mal (ดอกไม้แห่งความชั่ว) ของ ชาร์ลส์ โบดแลร์ เป็นผู้หญิงมีทั้งความงามและอันตรายที่ดึงดูดและล่อลวงศิลปินต่าง ๆ มานานนับศตวรรษ ในภาพจิตรกรรมหลายๆ ภาพของยุรี ตัวเอกหญิงในภาพของเธอมีชื่อเสียงจากความงามและกลายเป็นฟามม์ ฟาตาลล์ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ในชั้นแรกพวกเธอตกเป็นเหยื่อหรือถูกทรยศ แต่ท้ายที่สุดก็กลับมามีอำนาจและเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท

เมื่อดูกรณีของโอคิคุเป็นตัวอย่าง ตัวละครจากเรื่องสยองขวัญที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเรื่องหนึ่งของญี่ปุ่น บันชู ซะระยะชิกิ (ตำนานผีนับจาน) ถูกผูกมัดไว้ให้เวียนวนอยู่กับตัวเลขหนึ่งถึงเก้า แม้จะมีเรื่องเล่าปรากฏในแบบต่างๆ แต่เส้นเรื่องหลักยังเกิดขึ้นในยุคกลาง โดยเล่าเรื่องของโอคิคุ สาวรับใช้ซามุไรชนชั้นสูงในดินแดนศักดินาที่ปราสาทฮิเมจิยังคงตั้งอยู่ในปัจจุบัน (จังหวัดเฮียวโงะ) หน้าที่หลักของเธอคือการรับผิดชอบดูแลชุดจานกระเบื้องจำนวนสิบใบซึ่งเป็นมรดกตกทอดสำคัญของเจ้าผู้ครองแคว้น ความงามของโอคิคุไปเข้าตาของซามุไรเจ้าที่ดิน และเมื่อเธอปฏิเสธการเข้าหาของเขา เขาโกรธเกรี้ยวที่เธอปฏิเสธและไม่เคารพเชื่อฟัง เขาได้นำจานใบหนึ่งไปซ่อนและกล่าวหาเธอว่าบกพร่องละเลยต่อหน้าที่ ซึ่งในสังคมศักดินาแล้วความผิดพลาดเช่นนี้มีโทษถึงชีวิต โอคิคุถูกตัดสินโทษด้วยการแขวนคอบนต้นสน และร่างของเธอถูกโยนทิ้งลงบ่อน้ำในปราสาท นับแต่นั้น เสียงนับจำนวนจานอันน่าขนลุกของเธอก็ดังขึ้นทุกค่ำคืน เธอนับถึงเก้าก่อนจะกรีดร้องในตอนท้ายว่า “ใบสุดท้ายหายไป” เชื่อว่ากันใครก็ตามที่รอฟังเสียงร้องสุดท้ายนี้ จะตายด้วยน้ำมือของเธอ

ยุรีนำเสนอภาพผีโอคิคุปรากฏขึ้นบนพื้นที่ของปราสาทฮิเมจิ ฉากหลังคือบ่อน้ำที่เธอพบจุดจบอันน่าเศร้า อันที่จริงทุกวันนี้ “บ่อน้ำของโอคิคุ” กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้เยี่ยมชมมารวมตัวกันจินตนาการเรื่องราวอันทุกข์ระทมของเธอ ในผลงานจิตรกรรมชิ้นนี้ เธอยืนรายล้อมด้วยกลุ่มควันหรือเมฆหมอกเป็นรูปตัวเลขหนึ่งถึงเก้า มีภาพจานรองในไสตล์ 8-บิต ลอยวนอยู่รอบตัวเธอคล้ายกับแต้มที่เก็บสะสมได้ในวิดีโอเกม เธอไม่เพียงแต่จะถูกรัดรึงไว้ด้วยเชือก แต่ยังติดกับดักความท้าทายต่างๆ ในแต่ละด้านที่ลูปวนราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ในชีวิตของผู้หญิง ด่านที่สิบซึ่งเป็นด่านสุดท้ายนั้นอาจเป็นเลเวลที่ไม่อาจไปถึง ด้วยการเปลี่ยนโอคิคุให้เป็นภาพของการต่อสู้ดิ้นรนเช่นนี้ ภาพจิตรกรรมของยุรีเน้นให้เห็นถึงโครงสร้างของเรื่องเล่าที่ถูกผลิตซ้ำ ผู้หญิงจะเป็นทึ่จดจำก็ต่อเมื่อตายไปแล้ว หรือเมื่อผ่านการถูกล่วงละเมิดบางอย่างเท่านั้น ในการตีความใหม่แบบร่วมสมัยของยุรี โอคิคุได้กลายเป็นเครื่องเตือนใจไปชั่วกาลของอันตรายที่ผู้หญิงต้องเผชิญ เมื่อพวกเธอท้าทายต่อความคาดหวังของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อความต้องการและความปรารถนาของเพศชาย

“ความแตกต่างร่วม”

พัฒนาการในสไตล์งานที่โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดในผลงานชุดล่าสุดของยุรี คือการผสมการวาดภาพแนวเหมือนจริงเข้าไปในงานสุนทรียศาสตร์แบบป๊อปอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ ขณะที่ผลงานชิ้นก่อนๆ ของเธอวาดขึ้นจากภาษาภาพของคอมิกส์และแอนิเมชั่น ศิลปินได้แสดงให้เห็นความสนใจใหม่ในการวาดภาพที่ให้ความสนใจในรายละเอียดของพื้นผิวมากกว่าการทำให้ภาพแบนราบ  การเปลี่ยนแปลงนี้เห็นได้ชัดเมื่อตัวต้นแบบของเธอมีต้นกำเนิดมาจากตะวันตกและความแตกต่างอันชัดเจนนี้เป็นสัญญะถึงบริบททางสังคมวัฒนธรรมต่างๆ กันที่เธอใช้อ้างอิง ในขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นโครงสร้างที่คล้ายคลึงกันของความรุนแรงต่อผู้หญิงในหลายวัฒนธรรม

ตัวอย่างเช่น แม่มดที่กำลังยืนอยู่บนเปลวเพลิงถูกวาดเป็นแมวดำสวมชุดเดรสสีดำพร้อมหมวกปลายแหลมที่ดูราวกับชุดแฟนซีวันฮัลโลวีนของฮัลโหลคิตตี้ในแบบหม่นมืด ตัวเรื่องผันมาจากการล่าแม่มดในประวัติศาสตร์ มือปรากฏขึ้นในฉากทางด้านซ้ายถือไม้กางเขนที่ปัดเป่า “ความชั่วร้าย” ที่หมายถึงใครก็ตาม (ส่วนมากหมายถึงผู้หญิง) ที่ “แตกต่าง” โดยผู้อำนาจของคริสตศาสนจักรในยุโรปตั้งแต่ยุคกลางไปจนถึงช่วงต้นของยุคสมัยใหม่ เช่นเดียวกันกับในอาณานิคมอเมริกา ณ ที่นี้ ยุรีแสดงให้เห็นแนวโน้มอันเป็นสากลที่ให้ผู้หญิงตกเป็นแพะรับบาป จากเหตุผลที่ประกอบสร้างขึ้นมาสารพัด ตั้งแต่การแสดงออกถึงสิทธิทางเพศไปจนถึงการมีความคิดที่เป็นอิสระ กล่าวโดยสรุป ขณะที่ศิลปินใช้สไตล์การสร้างงานที่แตกต่างกันตามการรับรู้ถึงความแตกต่างทางสังคม วัฒนธรรม และศาสนาระหว่างตะวันออกและตะวันตก ผลงานชุดใหม่ของเธอเน้นย้ำให้เห็นประวัติศาสตร์การต่อสู้ดิ้นรนทางเพศและเปิดโปง “ความแตกต่างร่วมกัน” ที่ก้าวข้ามเส้นขอบเขตทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม [1]

ผู้ที่ถือเลขสิบ 

ยุรี เกนสาคู ได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเธอไม่คิดว่าตัวเองเป็นศิลปิน “สตรีนิยม” แม้ประเด็นบางประการที่ถูกเน้นย้ำในผลงานของเธอสอดคล้องกับข้อกังวลของสตรีนิยม อย่างไรก็ตาม ทิศทางการนำเสนอดังกล่าวกลับเป็นไปโดยธรรมชาติมากกว่าจะเป็นการตั้งใจอ้างถึงประเด็นทางสตรีนิยม ผลงานศิลปะของเธอเป็นเรื่องส่วนตัวเสมอมา เปลี่ยนความกลัวและความหวาดผวาของเธอไปเป็นตัวละครในจักรวาลในจินตนาการที่วุ่นวาย ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อมาถึง ณ จุดหนึ่งของชีวิต การสะท้อนคิดถึงตนเองของเธอนำไปสู่การตั้งคำถามถึงต้นตอความกลัวบางอย่างของเธอ ทำไมผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยทางเพศ บ่อยครั้งถึงต้องตกเป็นเหยื่อในเรื่องราวต่างๆ มากมาย มันดูเหมือนว่า แค่ที่จะเอาชีวิตรอดจากชุดความท้าทายสารพัดในชีวิต ผู้หญิงจำต้องมีพลังอำนาจพิเศษเหนือธรรมชาติบางประการไม่ต่างจากในเกมจำพวกเกมสวมบทบาท

ในแง่นี้ ภาพแสดงพลังเหนือธรรมชาติของสัตว์วิเศษอย่างคิวบิ โน คิตสึเนะ (จิ้งจอกเก้าหาง) จึงจับใจเป็นพิเศษ แม้ว่าตำนานของปีศาจที่แปลงกายได้นี้จะมีต้นกำเนิดมาจากจีน ตำนานจิ้งจอกเก้าหางถูกรับมาเป็นหนึ่งในโยไค กลุ่มของปีศาจและภูตผีวิญญาณในตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่นที่สร้างขึ้นเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ลึกลับ และมักสะท้อนถึงความหวาดวิตกของสังคม ในฐานะสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับความเจ้าเล่ห์และความงาม จิ้งจองเก้าหางปรากฏเป็นตำนานขึ้นครั้งแรกในรูปลักษณ์ของสตรีผู้งดงามนาม ทามาโนะ-โนะ-มาเอะ ในรัชสมัยของพระจักรพรรดิโตบะช่วงต้นศตวรรษที่สิบสอง เมื่อพระจักรพรรดิมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกลับนาง พระองค์เริ่มทรงพระประชวร เมื่อ องเมียวจิ นักพรตผู้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ตามลัทธิเต๋าของญี่ปุ่นและที่ปรึกษาประจำราชสำนักทราบว่านางไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นจิ้งจอกเก้าหาง เขาใช้พลังวิเศษปราบและจองจำนางไว้ในหินก้อนใหญ่ ปีศาจไม่เป็นภัยต่อพระจักรพรรดิอีกต่อไป แต่หินที่กักขังปีศาจไว้ได้กลายเป็นพิษต่อใครก็ตามที่เข้าใกล้มากเกินไปซึ่งทำให้ก้อนหินได้ชื่อว่า เซ็ชโชเซกิ (หินสังหาร)

องเมียวจิผู้นี้กลายเป็นจุดเด่นในการจัดวางองค์ประกอบภาพของยุรี ปรากฏร่างเป็นมนุษย์หมาป่า ผลงานชิ้นนี้เต็มไปด้วยสัญญะและการถอดรหัสสัญญะต่างๆ เหล่านี้ เชื่อมโยงมันเข้ากับภาพชิ้นอื่นๆ ที่ยุรีสร้างขึ้นในนิทรรศการครั้งนี้ บางส่วนของปีศาจที่ถูกปราบปรากฏเป็นศีรษะจิ้งจองสีชมพูผูกโบว์สีแดงโผล่ออกมาจากด้านหลังขององเมียวจิ ขุมพลังของเขา กล่าวคือ ธาตุทั้งห้า (ทอง ดิน น้ำ ไฟ และไม้) เติมเต็มพื้นที่ว่างรอบตัว  นอกจากพลังในการสยบปีศาจแล้ว ยังเชื่อกันว่าเขาสามารถทำนายทายทักเพศของทารกได้อีกด้วย อันที่จริง ในภาพยังแสดงให้เห็นนกกระสากำลังนำส่งทารกในห่อผ้าซึ่งปรากฏเป็นภาพพิกเซลที่ราวกับว่ายังโหลดไม่แล้วเสร็จในเกมแห่งชีวิตว่าจะเป็นเพศใด เลขที่มองเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากเลขสิบที่โอคิคุไม่มีวันนับถึงปรากฏอยู่ทางมุมบนขวา ย้ำเตือนเราถึงลูปความท้าทายและการต่อสู้อันเป็นนิรันดร์

ความแตกต่างระหว่างสีหน้าท่าทางที่ดูคุกคามของหมาป่าและสีหน้าที่ดูเชื่องเชื่อของจิ้งจอกในภาพสะท้อนถึงการสังเกตของศิลปินถึงระเบียบแบบแผนในโลกของการแบ่งแยกทางเพศ พลังอันล้นเหลือของเพศชายเมื่อเทียบกันกับการมีอยู่ของเพศหญิงที่ถูกปราบปราม บางทีแล้ว ยุรีไม่ได้นำเสนอภาพขององเมียวจิในฐานะวีรบุรุษอย่างที่เขามักจะเป็นตามตำนาน หากนำเสนอเป็นสัญญะของ “ผู้เล่าเรื่อง” ที่มองไม่เห็นในเรื่องเล่าเหล่านั้น ซึ่งมักเป็นเสียงของผู้ชายที่ควบคุมและประกอบสร้างวัฒนธรรมที่เอื้อประโยชน์ต่อพวกเขา นี่คือโครงสร้างของอำนาจนำ “ระเบียบทางสังคมและการเมืองเฉพาะ” ที่ “ทำให้สังคมอิ่มตัวทางวัฒนธรรมอย่างที่สุดเสียจนระบอบการปกครองนั้นดำเนินไปโดยประชาชนได้ตาม ‘สามัญสำนึก’” ดังที่กริเซลดา พอลลอค ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “สามัญสำนึก” ดังกล่าวแทรกซึมไปในสังคม ฝังอคติบางอย่างที่ยังคงกำหนดรูปแบบการรับรู้ที่เรามีต่อแบบฉบับของความเป็นหญิง[2]

ไม่จำนนต่อแบบแผน

ภาพของจิ้งจอกเก้าหางปรากฏขึ้นในผลงานชิ้นอื่น ๆ ของยุรีในงานชุดนี้ ด้วยการวาดสัตว์ในตำนานในฐานะสัญญะที่ปรากฏอยู่บ่อยครั้งในงาน ยุรีเน้นย้ำให้เห็นว่าตัวละครนี้ฝังลึกลงในจินตนาการร่วมสมัยของเราอย่างไร ในปี 2565 “หินสังหาร” ซึ่งยังคงตั้งอยู่ ณ พื้นที่อุทยานแห่งชาตินิกโก ขึ้นหน้าหนึ่งเมื่อมันแตกออกเป็นสองซีก นำไปสู่การรายงานพากหัวข่าวอย่างน่าตื่นเต้น เช่น “วิญญาณจิ้งจอกร้ายหลุดจากหินจองจำ” [3] ยุรีรับรู้เรื่องราวและต่อเติมไปเป็นจินตนาการถึงปีศาจจิ้งจอกในฐานะตัวละครร่วมสมัยที่ดูเหมือนจะพบวิธีในการสานต่อเรื่องเล่าใหม่ๆ

ในภาพจิตรกรรมภาพหนึ่งแสดงภาพของหินที่แตกเป็นสองซีกด้วยแรงระเบิด จิ้งจอกสีชมพูผูกโบว์สีแดงพร้อมหางยาวโบกสะบัด ดูมีชีวิตชีวาพร้อมจะออกกระโจน ด้านหน้าของภาพคือ ยุรุ-เคียระ (แปลตรงตัวคือตัวละครที่ดูนุ่มสบายหรือมาสคอต) ชื่อคิวบิเอะ กำลังตีกลองเหมือนกำลังประกาศการคืนชีพของปีศาจจิ้งจอกหลังถูกจองจำมาถึง 900 ปี แม้จิ้งจอกเก้าหางก็คือภูตคิวบิเอะ จังหวัดโทะชิงิเป็นผู้รับผิดชอบออกแบบและพัฒนามาสคอตตัวนี้ขึ้นเพื่อดึงดูดและทำเงินจากนักท่องเที่ยวโดยใช้ประโยชน์จากตำนานที่เล่าขานในภูมิภาคนี้ และที่เป็นไปเองคือการออกแบบมาสคอตได้เปลี่ยนภาพปีศาจที่ดูน่ากลัวให้เป็นมาสคอตที่ดูน่ารักน่ากอด และที่ไปไกลกว่าการเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงนี้ คือคำถามที่ถึงสิ่งที่จิ้งจอกเก้าหางจะทำหลังจากมนต์สะกดถูกทำลายลง ซึ่งถูกทิ้งให้ผู้ชมหาคำตอบตามแต่จะจินตนาการ วิสัยทัศน์ของยุรีต่อชะตากรรมของปีศาจจิ้งจองที่เป็นอิสระ ถูกนำเสนออย่างยวนยั่วในภาพจิตรกรรมอีกภาพหนึ่งที่สร้างขึ้นบนบริบทของวัฒนธรรมป๊อปร่วมสมัย ในผลงานชิ้นนี้ ลิซ่า แบล็คพิงก์ ยืนอยู่บนเวทีที่ส่องสว่าง มือดันม่านห่วงโซ่และเปิดเผยความงามในเรือนร่างและอำนาจของผู้หญิงอย่างมั่นใจ เธอถือหน้ากากจิ้งจอกที่เธอไม่จำเป็นสวมใส่มันอีกต่อไปในมือซ้าย ขณะหูและหางสีขาวได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของเธอไปโดยปริยาย

บทสรุป

ผลงานชุดล่าสุดของยุรี กระตุ้นให้เราทบทวนตำนานต่างๆ ที่เรารู้และใช้ชีวิตร่วมกับพวกมันด้วยการตระหนักรู้ถึงจิตวิญญาณที่ไม่ยอมจำนนในเรื่องราวที่ไม่ยินยอมที่จะถูกลืมเลือน ผ่านภาพซับซ้อนที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแหล่งที่มาต่างๆ เธอสนับสนุนให้ผู้ชมงานได้ตั้งคำถามถึงโครงสร้างที่นิยามบทบาทของเพศหญิงในตำนาน ศิลปะ และสังคม งานศิลปะของเธอไม่เพียงแต่วิพากษ์วิจารณ์การเหมารวมในประวัติศาสตร์ต่อภาพของความเป็นผู้หญิงแต่เพียงอย่างเดียว หากยังทวงคืนการเล่าเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้กลับคืนมาด้วยเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งและพลังนั้นเกิดจากการต่อสู้ได้อย่างไร ชุดผลงานภาพจิตรกรรมเหล่านี้จับเอาความไม่แน่นอนในอัตลักษณ์มานำเสนอ แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีหลายแง่มุม มีทั้งความบอบบางและความสามารถในการฟื้นพลังทั้งทางร่างกายและทางจิตวิญญาณ

__

[1]วาทกรรมของจันทรา ทัลปาเด โมฮันตี  เกี่ยวกับ “ความแตกต่างทั่วไป” ตามที่มัวร่า ไรลี่ย์ อ้างอิงใน “Introduction: Toward Feminism” ของเธอในแคตตาล็อกนิทรรศการ Global Feminisms: New Directions in Contemporary Art (ลอนดอน; นิวยอร์ก: เมอร์เรล, 2550), หน้า 1 14–45. นิทรรศการ Global Feminisms ซึ่งร่วมคัดสรรโดย มัวร่า ไรลี่ย์ และลินดา น็อคลิน ในปี 2550 (หมุนเวียนไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์เดวิส, วิทยาลัย เวลเลสลีย์, แมสซาชูเซตต์ และพิพิธภัณฑ์บรู๊คลิน,นิวยอร์ก) ได้แก้ไขปัญหาสากลนิยมของกรอบการทำงานของสตรีนิยมตะวันตกโดยต่อยอดจากแนวคิดของโมฮันตีในเรื่อง “ความแตกต่างร่วมกัน” ซึ่งรับรู้ถึงการต่อสู้ร่วมกันและการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้หญิงในบริบททางวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจที่หลากหลาย

(2) กริเซลดา พอลลอค Differencing the Canon: Feminist Desire and the Writing of Art Histories (ลอนดอนและนิวยอร์ก: เลดจ์, 2542), หน้า 10.

[3] มีแกน มาร์เปิลส์, “A Japanese ‘killing stone,’ said to contain an evil 9-tailed fox spirit, has split in two,” CNN, วันที่ 1 เมษายน, 2565, https://edition.cnn.com/2022/03/31/world/japanese-killing-stone-spirit-scn/index.html [สืบค้นครั้งสุดท้ายวันที่ 28 ตุลาคม 2567]

 

 

Press release

JWD Art Space


View Map

ศิลปิน

  • Yuree Kensaku

Work

Related Exhibitions

The Dark Rainbow Wave

The Dark Rainbow Wave เป็นประโยคแสดงการแทนค่าให้เห็นการผสานของ Feeling ซึ่งสื่อถ...

AMINIMAL | Working Between the Lines

นิทรรศการ AMINIMAL | Working Between the Lines โดย มิตร ใจอินทร์, อันเดรียส ไรเต...

Lightness and Weight

จินตนาการและความฝันคือลูกโป่งอัดแก๊สที่ลอยล่องในอากาศ ขณะที่ชีวิตประจำวันและข้อจ...

Country Home Sheriff

Country Home Sheriff โดย โอ๊ต มณเฑียร ภัณฑารักษ์ กษมาพร แสงสุระธรรม JWD Art Spac...

Ghidorah

นิทรรศการ “กิโดราห์” (Ghidorah) นำเสนอเรื่องราวการตีความนัยของอสูรอันโหดร้าย ที่...

VOYAGE DE L’ART(การเดินทางของศิลปะ)

The Art Auction Center

ดิ อาร์ต อ๊อคชั่น เซ็นเตอร์ (The Art Auction Center) บริษัทประมูลงานศิลปะชั้นนํา...